บ่อน้ำพุร้อนรมณีย์ ตั้งอยู่ในซอยบางกลาง หมู่ที่ 4 ตำบลรมณีย์ อำเภอกะปง จังหวัดพังงา บ่อน้ำพุร้อนแห่งนี้มีมาตั้งแต่เมื่อใดนั้น ไม่มีผู้ใดสามารถจะบอกเล่าได้ ตามที่ได้เริ่มมีการบันทึกไว้ตั้งแต่ พ.ศ.2481 ความว่า บ่อน้ำพุร้อนแห่งนี้ ตั้งอยู่บริเวณบ้านทุ่งปรือ บ้านทุ่งปรือแห่งนี้ มีราษฎรอาศัยอยู่จำนวน 7 ครัวเรือน คือ นายเหมือน ไม่ ทราบนามสกุล เป็นผู้ใหญ่บ้าน นายเขียว จวนสำเร็จ นายร่ม และนายเริ่ม จันประสาท นายเพิ่ม ช้างใหญ่ นายเลื่อนนายบี และนายพรหม เดิมราษฎรเรียกบ่อน้ำพุร้อนแห่งนี้ว่า พ่อตาบางน้ำร้อน โดยมีนายเหมือน เป็นร่างทรงของ พ่อตาบางน้ำร้อน ไม่มีราษฎรผู้ใดกล้าไปถางป่าในบริเวณบ่อน้ำพุร้อนเพราะมีความเชื่อว่าเป็น สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ราษฎรได้นำน้ำในบ่อน้ำพุร้อนแห่งนี้ไปใช้ในการอุปโภคและบริโภค ราษฎรส่วนใหญ่ประกอบอาชีพทำนาทำไร่ และเลี้ยงเป็ด ต่อมาภายหลังได้เกิดความแห้งแล้งและโรคห่า ราษฎรส่วนหนึ่งได้อพยพไปอยู่ที่อื่น เช่น ตะกั่วป่า หรือหมู่บ้านอื่น ๆ ในตำบลรมณีย์ คงเหลือแต่ไร่นา ต่อมากรมป่าไม้ได้ประกาศเขตป่าสงวนแห่งชาติ คือ ป่าเทือกเขาศรีราชา ป่าบางกลัก และป่าเขาบางใหญ่ ในปี พ.ศ. 2526 ซึ่งก่อนจากนั้นได้ประกาศเป็นป่าเตรียมการ ไว้ก่อนแล้วตั้งแต่ปี พ.ศ. 2507 เป็นเหตุให้ที่ดินบริเวณบ่อน้ำพุร้อนและใกล้เคียงอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติทั้งหมด ทำให้ที่ดินทุกแปลงถ้าออกเอกสารสิทธิ หลังปี พ.ศ. 2526 หรือหลังจากปี พ.ศ. 2507 โดย มิได้แจ้งการครอบครองที่ดินแปลงดังกล่าวออกโดยมิชอบด้วยกฎหมายทางราชการ สามารถเพิกถอนได้ตลอดเวลา
ในปี 2530 ได้มีนายทุน จากจังหวัดภูเก็ตเดินทางมาเยี่ยมชมบ่อน้ำพุร้อน และสอบถามรายละเอียดต่าง ๆ เกี่ยวกับบ่อน้ำร้อนรวมทั้งได้ขุดเอาหิน และน้ำเพื่อไปตรวจสอบ หลังจากนั้นไม่นานพวกนายทุนเหล่านั้นได้มากว้านซื้อที่ดินจากราษฎรในบริเวณ ซอยบางกลางและบริเวณใกล้เคียงกับบ่อน้ำพุร้อน กลุ่มนายทุนเหล่านั้นเริ่มเล็งเห็นผลประโยชน์ที่สามารถแสวงหาได้จากบ่อน้ำพุ ร้อนจึงได้เชิญชวนราษฎร ผู้นำท้องที่ และคณะกรรมการหมู่บ้าน ไปเลี้ยงอาหารที่ร้านชิม ในเขตอำเภอตะกั่วป่าโดยกล่าวกับราษฎรว่าพวกเขาจะพัฒนาบ่อน้ำพุร้อนให้ช่วย สนับสนุนพวกตนด้วยอย่าให้ผู้ใดคัดค้าน ราษฎรก็ไม่ได้คัดค้านเพราะเห็นว่าเป็นสิ่งที่ดี ต่อมานายทุนได้เอาท่อซีเมนต์มาครอบน้ำพุร้อนไว้จำนวน 2 บ่อ เพื่อให้ราษฎรได้นำน้ำพุร้อนไปใช้ได้ต้องการ ต่อมาในปี พ.ศ. 2532 พวกนายทุนกลุ่มนี้ได้เอา น.ส.3 ของราษฎรที่ซื้อไว้แล้วไปยื่นต่อสำนักงานที่ดินอำเภอ คือแปลงหมาย เลข 396 ซึ่งมีเนื้อที่ 11 ไร่ 3 งาน หมายเลข 771 เนื้อที่ 29 ไร่ 3 งาน เพื่อ รังวัด ตรวจสอบเนื้อที่ใหม่ ทั้ง 2 แปลง โดยร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ของรัฐที่แสวงหาผลประโยชน์ ได้ทำการย้าย น.ส.3 ทั้ง 2 แปลงมาครอบคลุมเนื้อที่ของบ่อน้ำร้อนเกือบทั้งหมดคงเหลือประมาณ 5 ไร่ และในขณะเดียวกันกลุ่มนายทุนพวกนี้แกล้งทำเป็นเศรษฐีใจดียกที่ในบริเวณบ่อน้ำร้อนให้องค์การบริหารส่วนจังหวัดพังงา จำนวน 2 แปลง คือแปลงหมายเลข 772 ซึ่งแยกมาจากแปลง 396 จำนวน 3ไร่ และแปลงหมายเลข 771 ซึ่งแยกมาจากแปลง 511 จำนวน 3 ไร่ 1 งาน 20 ตารางวา ซึ่งที่ดินส่วนที่แยกมานั้นอยู่ตรงบริเวณ น้ำพุร้อนในปัจจุบัน เรื่องทั้งหมดนี้ ถูกเก็บเป็นความลับรู้กับเฉพาะพวกที่เกี่ยวข้อง และได้รับผลประโยชน์เท่านั้น แต่ราษฎรบางคนก็รู้บ้างแต่ก็ไม่มีหลักฐานที่จะยืนยันเรื่องดังกล่าว เพราะเกรงว่าถ้าราษฎรรู้เรื่องนี้ จะถูกคัดค้านแน่นอน
ต่อมาองค์การบริหารส่วนจังหวัดพังงาจะดำเนินการการพัฒนาบ่อน้ำพุร้อนโดยการ ให้เอกชนเช่า เพื่อพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวและทำโรงงานผลิตน้ำแร่ในพื้นที่ 6 ไร่ เศษ ซึ่งเป็นที่ดินที่เศรษฐีใจดียกให้ความทราบถึงหุ้นส่วนของกลุ่มทุน ๆ ก็ได้ทำหนังสือถึงกำนันตำบลรมณีย์สมัยนั้น ใจความว่าตนเองมีเอกสารสิทธิในที่ดินดังกล่าวและชักชวนให้กำนันร่วมกับราษฎร ในท้องที่ร่วมกันคัดค้านมิให้นายทุนเช่ากรรมใดใครก่อเวรใดใครทำ ผู้นั้นจะต้องชดใช้เวรกรรมที่ตนทำมาไม่ช้าก็เร็ว เมื่อเป็นเช่นนี้ ความลับที่ถูกเก็บไว้นานนับปีก็ถูกเปิดเผยขึ้นในบัดดล ราษฎรในหมู่ที่หนึ่งก็ดำเนินการตามที่กลุ่มทุนร้องขอ คือคัดค้านการออกเอกสารสิทธิในที่ดินโดยได้เข้าชื่อกันเป็นจำนวนรวมร้อยกว่า คน ยื่นเรื่องไปในทุกส่วนราชการที่เกี่ยวข้องทราบข้อเท็จจริงและควา มเป็นมาขอ งการดำเนินการออกเอกสารสิทธิทั้งหมด ในเดือน มิถุนายนพ.ศ. 2533 ทาง ราชการสมัยนั้นก็ทำตามหน้าที่ได้แจ้งให้ผู้คัดค้านทราบว่าที่ดินในบริเวณบ่อน้ำพุร้อน ทั้งหมดมีเอกสารสิทธิและดำเนินการออกถูกต้องตามระเบียบกฎหมาย โดยการรังวัดตรวจสอบแนวเขตของที่ดินใหม่ของที่ดิน หมายเลข 396 ซึ่งเป็นของ นาง…….แล ะหมายเลข 511 เป็นของนาย …….ซึ่งได้ขายให้พวกนายทุนไปแล้ว และพวกนายทุนได้แบ่งที่ดินให้องค์การบริหารส่วนจังหวัดพังงาจำนวน 6 ไร่เศษ หลังจากนั้นน้ำพุร้อน เรื่องราวต่างๆ ก็เงียบหายไปโดยไม่มีร่องรอย ต่อมาในเดือนเมษายน พ. ศ. 2535 จังหวัดพังงา ได้นัดคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องเพื่อจะพัฒนาบ่อน้ำพุร้อนเป็นแหล่งท่องเที่ยว และทำน้ำแร่ โดยให้เอกชนเช่าในส่วนของที่ดิน ที่เป็นขององค์การบริหารส่วนจังหวัดพังงาสาระสำคัญของการประชุมในครั้งนั้น คือการให้เอกชนเช่าที่ดินและการกำหนดราคำเช่า ผลตอบแทนที่จะให้กับองค์การบริหารส่วนจังหวัดพังงาแต่ก็มีปัญหาการได้มาและการออกเอกสารสิทธิว่าจะชอบด้วยกฎหมายหรือไม่และ ราษฎรก็ร้องเรียนเรื่องนี้ อยู่ และให้กำหนดเงื่อนไขของสัญญาไว้ในขั้นตอนของการประมูลเช่า ว่าทางราชการจะไม่รับผิดชอบใด ๆ ทั้งสิ้นหากมีการเพิกถอนน.ส.3 และผู้เช่าจะฟ้องร้องทางราชการไม่ได้ หลังจากนั้นเรื่องนี้ ก็เงียบหายไปเช่นกัน
ตามเอกสารที่สามารถสืบ ค้นได้ ไม่ทราบ ว่าเป็นเพราะเหตุผลกลใด ทั้งภาครัฐ และราษฎรไม่ได้กล่าวถึง เรื่องนี้ เลยเป็นเวลาร่วมเป็นเวลาประมาณเจ็ดปี เรื่องนี้ ถูกยกมากล่าวถึงอีกในปลายปี พ.ศ .2541 คือ ในเดือนสิงหา คมนายธานินทร์ สัญญาสุวรรณ ประธานองค์การบริหารองค์การบริหารส่วนตำบลรมณีย์ ในขณะนั้น ได้ทำหนังสือถึงนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดพังงา เรื่อง ขอใช้และพัฒนาบ่อน้ำพุร้อนในส่วนที่องค์การบริหารส่วนจังหวัดพังงามี กรรมสิทธิ์ แต่ก็ไม่ทราบว่าองค์การบริหารส่วนจังหวัดตอบกลับมาหรือไม่และยินยอมหรือไม่ อย่างไร ต่อมาใน วันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ.2541 องค์การบริหารส่วนตำบลรมณีย์ร่วมกับประชาชน และส่วนราชการในอำเภอกะปงทุกหน่วย ได้จัดกิจกรรมปลูกป่า เฉลิมพระเกียรติ เนื่องในวโรกาส วันที่ 5 ธันวา มหาราช คาดว่าในที่ดินที่องค์การบริหารส่วนจังหวัดถือกรรมสิทธิ์ โดยการปลูกไม้ตะเคียนทองและไม้จำปาต่อมาในวันที่ 11 ธันวาคม 2541 ได้ มีมัจจุราชส่งเสียงคำรามดังลั่นในเขตบ่อน้ำร้อน พร้อมด้วยพลขับเวลาผ่านไปประมาณสองชั่วโมง ป่าที่ราษฎรร่วมกับส่วนราชการปลูกไว้ในวันที่ 5 ธันวาคม ที่ผ่านมา ถูกไถทิ้งหมด พร้อมทั้งได้น้ำลวดหนาม มากันรอบบริเวณบ่อน้ำพุร้อนพร้อมทั้งเขียนข้อความห้ามเข้าที่ริมถนนแต่ไม่มีใครทราบว่ายังมี ต้นตะเคียนแห่งความหวังและชัยชนะของประชาชนรอดชีวิตอยู่หนึ่งต้น ปัจจุบันก็ยังอยู่เสมือนเป็นลางสังหรณ์ว่าในไม่ช้าที่ดินแปลงนี้ จะกลับมาเป็นของแผ่นดินตลอดไป โดยมีประชาชนทุกคนเป็นเจ้าของ เมื่อความทราบถึงประชาชนในพฤติกรรมและการกระทำในครั้งนั้นได้สร้างความเจ็บปวด และเคียดแค้นชิงชังให้กับประชาอย่างยิ่งแต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้เพราะไม่มี อำนาจและอิทธิพลเยี่ยงพวกนายทุน เพราะการกระทำนั้นเข้าข่ายความผิดทำลายทรัพย์สินของทางราชการและหมิ่นพระบรมเดชานุภาพด้วย เนื่องมาจากต้นไม้ทุกต้นที่ปลูกและถูกทำลายนั้น ปลูกเนื่องในวโรกาส 5 ธันวามหาราช
ในวันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2541 นาย ธานินทร์ สัญญาสุวรรณ ได้รายงานพฤติการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้นายอำเภอทราบและร้องขอให้ตรวจสอบ หลักฐานว่าที่ดินที่ราษฎรเข้าไปปลูกต้นไม้นั้นเป็นที่ของผู้ใด เพราะถ้าดูจากข้อเท็จจริงแล้วพื้นที่ที่ปลูกนั้นอยู่ในเขตที่ดินขององค์การ บริหารส่วนจังหวัดพังงา อำเภอกะปงได้ทำหนังสือถึงองค์การบริหารส่วนจังหวัดพังงาเพื่อให้มาตรวจสอบ แนวเขต และองค์การบริหารส่วนจังหวัดพังงาได้ตอบหนังสือกลับมาความว่า การที่องค์การบริหารส่วนตำบลรมณีย์จะขอรับที่ดินดังกล่าวไปเพื่อไปพัฒนานั้น ยังไม่ได้อนุญาตอยู่ในขั้นตอนของการพิจารณาส่วนการรังวัดตรวจสอบแนวเขตนั้น จะส่งเจ้าหน้าที่มาร่วมดำเนินการต่อไป เมื่อถึงเวลาการรังวัดตรวจสอบแนวเขตองค์การบริหารส่วนจังหวัดพังงาได้ส่ง เเจ้าหน้าที่มาชี้ แนวเขตแต่ปรากฏว่าไม่สามารถชี้ ตำแหน่งของที่ดิน เรื่องนี้ ก็นับว่าแปลกเพราะที่ดินแต่ละแปลงก็มีหมุดมีหลักและแผนที่ชัดเจนแต่ก็ไม่สามารถดำเนินการได้ เพราะถ้าดำเนินการได้ก็จะมีคนติดคุกหนึ่งคน ส่วนนายอำเภอในขณะนั้นได้แจ้งให้องค์การบริหารส่วนตำบลรมณีย์ดำเนินการแจ้ง ความกับผู้บุกรุกและทำลายแต่ไม่ปรากฏหลักฐานในการดำเนินคดี ปรากฏแต่เพียงหนังสือมอบอำนาจให้นายวิเชียร อินท่าทองรองประธานสภา นายกฤษฎา สิทธิชัย และนายสิทธิพล ทองมาก เป็นผู้แจ้งความดำเนินคดี
ต่อมาในปีเดียวกันนายอำเภอกะปงในขณะนั้น คือนายสงวน เก็บสมบัติ ได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง เกี่ยวกับเรื่องการออกเอกสารสิทธิในบริเวณบ่อน้ำพุร้อน คณะกรรมการชุดแรกตรวจสอบจากพยานเอกสารตามกระบวนการและระเบียบกฎหมายปรากฏว่า ถูกต้องตามระเบียบ ต่อมาในปี พ.ศ. 2543 อำเภอกะปงได้แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาอีก 1 ชุดเพื่อดำเนินการสอบสวน ข้อเท็จจริง ปรากฏ ทั้งพยาน บุคคลพยานเอกสาร และข้อเท็จจริงที่ปรากฏ คณะกรรมการได้สรุปสาระสำคัญได้ดังนี้ ที่ในบริเวณบ่อน้ำพุร้อนและบริเวณใกล้เคียงอยู่ในเขต ป่าสงวนแห่งชาติป่าเทือกเขาศรีราชา ป่าบางกลักและป่าเขาบางใหญ่ การรังวัดสอบเขตที่ดินแปลงหมายเลข 396 และแปลงหมายเลข 511 ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และแปลงหมายเลข 771, 772 ซึ่งเป็นขององค์การบริหารส่วนจังหวัดพังงาก็ออกโดยมิชอบเช่น กัน และได้แจ้งผลการดำเนินงานให้จังหวัดพังงาทราบและดำเนินการทางอาญา และวินัยกับเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องต่อไป จังหวัดพังงาได้รายงานให้กรมที่ดินเพิกถอนเอกสารสิทธิทั้งหมด การตอบโต้หนังสือของทางราชการดำเนินอยู่ ประมาณ 5 ปี ทางราษฎรโดยองค์การบริหารส่วนตำบลรมณีย์ได้ทวงถามความคืบหน้าอยู่เป็นระยะ ๆ จนในที่สุดนายวิเชียร อินท่าทอง ได้ถูกลอบยิงแต่โชคดีที่ไม่เสียชีวิต โดยไม่ทราบว่าเป็นการกระทำของผู้ใด ในที่สุดเมื่อวันที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2548 ความจริงก็ถูกเปิดเผยต่อสาธารณชนว่า กลุ่มนายทุนเหล่านี้ ฉ้อโกงที่แผ่นดินของประชาชนเมื่อกรม ที่ดิน ได้มีคำสั่ง ที่759/2548 เพิกถอนที่ดินที่ออกไม่ชอบด้วยกฎหมาย คือแปลง หมายเลข 771 ,772 สวนหมายเลข 396 และ511 ให้แก้ไขในรูปแผนที่ให้ถูกต้องตรงกับตำแหน่งที่ดินแต่ถึงแม้นว่ากรมที่ดินจะเพิกถอนแล้วก็ตามรั้วลวดหนามก็ยังอยู่คงเดิม
ต่อมาในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2548 นาย ประจินต์ ธารศิริสิน นายอำเภอกะปงในขณะนั้น ได้ยื่นหนังสือขอออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง โดยให้องค์การบริหารส่วนตำบลรมณีย์ เป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายในการรังวัด เรื่องได้ดำเนินการมาจนถึง ปี พ.ศ. 2549 ได้มีบริวารของนายทุนมายื่นคัดค้านว่าที่ดินบริเวณสวนปาล์มเป็นของตนเองโดยนำเอกสารสิทธิ น.ส.3 ก.เลขที่ 400 มา ยื่นคัดค้าน เรื่องก็เงียบหายไปอีก สร้างความสงสัยให้กับประชาชนเป็นอย่างยิ่ง เป็นเหตุให้ประชาชนเหนื่อยล้า ท้อถอย ถ้าจะเคลื่อนไหวคัดค้าน อีกก็กลัวอิทธิพลเพราะเคยเห็น นายวิเชียรถูกลอบยิงมาแล้ว
ต่อมาประมาณเดือน กรกฎาคม พ.ศ. 2551 นายประกอบ ศรีทวี นายอำเภอกะปงในสมัยนั้น ได้มาร่วมประชุม กับราษฎร ณ ศาลาประจำหมู่บ้าน หมู่ที่ 4 ตำบล รมณีย์ ได้มีราษฎรท่านหนึ่ง ทราบชื่อภายหลัง คือนายด้วน ได้สอบถามเรื่อง ที่ดินบริเวณบ่อน้ำพุร้อน พร้อมทั้งเล่าประวัติความเป็นมา หลังจากนั้นนายอำเภอได้ประสานผู้เกี่ยวข้องติดตามทวงถามจนทราบสาเหตุว่าทำไม ออกไม่ได้เป็นเพราะเหตุอันใด จนทราบว่ามีการ คัดค้าน โดยนำ น.ส.3 ก.เลขที่ 400 เป็น เอกสารในการคัดค้าน จนที่สุดต้องมีการสอบสวนกันว่าที่ดินแปลงนี้ เป็นของผู้ใด ความเป็นมาเป็นอย่าง ไร ทิศใกล้เคียงจดกับผู้ใดบ้าง ในที่สุดก็ทราบว่าเป็นที่ดินที่ราษฎรขายให้กับกลุ่มนายทุน แต่ที่ดินแปลงดังกล่าวห่างจากบ่อน้ำร้อน ไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือเกือบ 1 กิโลเมตร ความพยายามและความเลวร้ายของพวกนายทุนก็ได้ถูกเปิดเผยให้กับสาธารณะชนทราบ อีกครั้งหนึ่ง ส่วนทางราชการก็ดำเนินการออก หนังสือสำคัญสำหรับ ที่หลวง ตามระเบียบกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไปในที่สุดหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงฉบับ แรกของบ่อน้ำพุร้อน รมณีย์ ก็ได้เวลาจุติอย่างเป็นทางการคือ หนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงเลขที่ พังงา 890 เมื่อวันที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2553 เนื้อที่ 34 ไร่ 1 งาน 54 ตาราง วา โดยนายเยี่ยมสุริยา พาลุสุขผู้ว่าราชการจังหวัดพังงาเป็นผู้ลงนาม สร้างความปลื้มปิติยินดีให้กับประชาชนในตำบลรมณีย์เป็นอย่างยิ่ง เหงื่อทุกหยาดของประชาชน และการถูกลอบยิงของ นายวิเชียร อินท่าทอง ย่อมไม่เสียไปโดยไร้ประโยชน์
ต่อมาในปีเดียวกันทางราชการโดยกรมการปกครองกระทรวงมหาดไทย ได้สั่งการให้อำเภอทุกอำเภอจัดตั้งศูนย์เรียนรู้ตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอ เพียงพอเพียงอำเภอกะปงจึงได้คัดเลือกที่ดินบริเวณบ่อน้ำพุร้อน เป็นแหล่งเรียนรู้ตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง โดยได้รับงบประมาณส่วนหนึ่งจากองค์การบริหารส่วนตำบลรมณีย์ในการปรับพืนที่ และขุดแก้มลิง และได้รับงบประมาณจากจังหวัดพังงา จำนวน 5 ,000,000 บาท ในการปรับภูมิทัศน์ บริเวณบ่อน้ำพุร้อน พร้อมจัดสร้างสระน้ำจำนวน 2 สระ ในระยะแรกอำเภอจะให้องค์การบริหารส่วนตำบลรมณีย์เป็นผู้บริหาร แต่ได้รับแจ้งจากจังหวัดว่าไม่ได้เพราะขัดต่อกฎหมาย และให้อำเภอตัดสินในว่าจะให้ผู้ใดบริหาร อำเภอกะปง จึงตัดสินใจให้ประชาชนบริหารโดยจัดตั้งเป็นกลุ่มชุมชนบริหารบ่อน้ำพุร้อน รมณีย์เปิดโอกาสให้ประชาชนในเขตตำบลรมณีย์เข้าถือหุ้น ๆละ 100 บาท รายละไม่ต่ำกว่า 1,000 บาท และไม่เกิน50,000 บาท ส่วนในรูปแบบของกลุ่มไม่จำกัดจำนวนในปีแรก มีประชาชนและกลุ่มต่าง ๆ ในเขตตำบลรมณีย์ถือหุ้น จำนวน 104 ราย 4570 หุ้น เป็นเงินทั้งหมด457,000 บาท โดยเปิดบริการเป็นทางการเมื่อวันที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2554
เรื่อง ราวเกี่ยวกับที่ดินบริเวณบ่อน้ำร้อนยังมีต่ออีกคือในการออก หนังสือสำคัญที่หลวงครั้งแรกนั้นสำนักงานที่ดินออกตามแผนที่รังวัดเดิม เป็นเหตุให้มีที่เหลืออยู่ประมาณ 5 ไร่ ตรงบริเวณสวน ปาล์ม ยังอยู่ในการครอบครองของบริวารของพวกนายทุน ประมาณ กลางปีพ .ศ. 2555 บริวาร ของพวกนายทุนจะขายต่อ ให้บุคคลภายนอก ความทราบถึงนายอำเภอกะปง นายอำเภอกะปงได้สั่งการให้เจ้าที่ที่เกี่ยวข้องตรวจสอบที่ดินบริเวณน้ำร้อน ไปดังกล่าวปรากฏความจริงว่าที่ดินดังกล่าวก็เป็นส่วนหนึ่งของบ่อน้ำพุร้อน นายอำเภอได้ประสานกับองค์การบริหารส่วนตำบลรมณีย์เพื่อดำเนินการออกหนังสือ สำคัญที่หลวงต่อไป และ ดำเนินการแล้วเสร็จ ในปี พ.ศ. 2556 คือหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง เลขที่ พังงา 905 ลงวันที่12 กุมภาพันธุ์ 2556 เนื้อที่ 4 ไร่ – 28.6 ตารางวา เป็นจบฉากของการฉ้อโกงที่ดินบ่อน้ำพุร้อนรมณีย์ ของพวกนาทุนที่ชั่วร้าย และข้าราชการที่เลวทราม
คำเตือน ที่ดินตรงกันข้ามกับบ่อน้ำพุร้อน เป็น ที่ดิน สปก.ไม่สามารถขายกันได้ ด้านซ้ายของบ่อน้ำร้อนก็เป็น สปก.ถัดไปเป็น นส 3 ก. แต่ออกโดยชอบ พร้อมจะถูกเพิกถอนได้ตลอดเวลา ด้าน ขวาเป็นที่ดินของบริษัทอินเตอร์ปาล์ม มีเอกสารสิทธิถูกต้อง ด้านหลังเป็นที่ดินในเขตป่าสงวนแห่งชาติไม่มีเอกสารสิทธิใดๆ ทั้งสิ้น แต่มีนายทุนบางคนอยากได้จนน้ำ ลายไหล ส่วนที่ดินอื่นๆ ในซอยบางกลางอยู่ในเขตป่าสงวนแหชาติหลายแปลงมีเอกสารสิทธิถูกต้อง หลายแปลงมีเอกสารสิทธิแต่ออกไม่ชอบด้วยกฎหมายพร้อมที่จะถูกเพิกถอนสิทธิ และทางราชการจะต้องดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้องทุกราย
ภาพราษฎรร่วมกันปลูกต้นไม้เฉลิมพระเกียรติ 5 ธันวามหาราช
The History of Rommani Hot Spring
Rommami Hot Spring nobody has known its origin located at Moo 4 Rommami Suddistrict Kapong District in Phang-nga Province. In 1938, there was a note that this hot spring located near the village called Ban Tung Prei surrounded by only 7 families of Mr. Mein, a head of the village, Mr.kheow Chuansanrad, Mr. Rom and Raum Chanprasat, Mr. Paum Changyai, Mr. Lian, Mr. Bee, and Mr. Prom. In the ancient time, this hot spring was called “Po Taa Bang Num Ron” which Mr. Mein had acted as a medium of the spirit of Po Taa Bang Num Ron, and nobody approached in this area because of sacred believing. The local citizens brought water from the hot spring for their consumption and for their farms and livestock. Later, there were a drought and epidemic diseases, many citizens abandoned Rommami and migrated to other places nearby. In the 1964, and 1983 the Forest Department promulgated this area as a sanctuary, and it revealed that the hot spring and many private pieces of land nearby were in the sanctuary.
In 1987, some investors from Phuket province made a trip to the hot spring, collected some details, and brought stones and water for testing. In a short time later, the investors bought a lot of pieces of land from the locals in Soi Klang and near the hot spring because they believed they could make the big profits from the hot spring. They persuaded and convinced the locals that they wanted to develop the hot spring and asked for supporting, and they built 2 cement wells
covering hot spring for using of the locals. In 1989, the investors took some documents concerning pieces of land called “Nor Sor Sam Kor”which they brought from the locals to the Kapong District Land Office for new land area measuring. The invertors and the government officers corrupted to draw nearly total areas of hot spring were in the private land approximately 40 Rai. At the same time, the investors donated 2 pieces of land about 6 Rai to Phang-nga Provincal Administrative Organization (PPAO) for the public usage. This was kept as a secret for along time, and only known the concerning persons, however, many locals knew this secret but they had no document witness for proving.
Later. PPAO wanted to develop hot spring wells and promoted the tourism, so it announced the privates who interested to hire the 6 Rai of land for making mineral water. The previous investors together with the head of subdistrict and some locals claimed for hiring, and stated that they had a document of piece of land or “Nor Sor Sam Kor”nearby the hot spring. This showed that the secret which had been kept for a long time was open. In June 1990, the locals in Moo 1 of Mommami protested for issuing a “Nor Sor Sam Kor” but their protesting was ineffective. In April 1992, Phang-nga province held a meeting on topic developing hot spring wells, promoting tourism, and producing mineral water, hiring price. Anyway, PPAO faced with big obstacles of illegal document of land, and the protesting of the locals on issuing illegal document of land. These obstacles ceased the project for 7 years.
On 5 December1998, Rommami Subdistrict Administrative Organization (RSAO), the locals, and government and private sectors held the activities growing woods on the area around the hot spring for celebrating birthday of His Majesty the King Rama9. Six days later, the whole planted trees were completely destroyed, and the area of hot spring was fenced with the notice “Private Property No Entry”
On 15 December 1998, the president of Rommami Subdistrict Administrative Organization reported all of details to the Kapong Chief District Officer, and asked for checking the right over this land.
The Kapong Chief District Officer handed a notice to the PPAO to check territory of the area, and usage the hot spring for public benefits. PPAO stated that RSAO could have no right to use this area because it was in the process of allowing, and the PPAO would send its officer to participate for checking territory of the area, but the task was not succeed. Moreover, RSAO ignored to prosecute the invaders.
The Kapong Chief District Officer conducted a committee to find out the facts towards issuing around the hot spring. The committee concluded that the documents and process to issue “Nor Sor Sam Kor” were correctly following the regulation. In 2000, Kapong district promoted new committee to find out the facts towards issuing around the hot spring again. The new committee concluded that hot spring wells were in sanctuary called Khoa Sriracha, Pa Bang Krad, and Pa Khoa Yao Yai, and the whole process of issuing was illegal. Kapong district
reported the governor of Phang Nga to prosecute the corrupted officers, and to cancel “Nor Sor Sam Kor”. The Department of Land took 5 years to cancel the illegal “Nor Sor Sam Kor” number 771 and 772, and corrected number 396 and 511. However, the “Nor Sor Sam Kor” were canceled, the fences still remained around the area.
In July 2005, the Kapong Chief District Officer handed in some document to the Provincial Land Office asking for a public title deed, but it was protested by the investors who had palm oil farms nearby.
In July 2008, Mr. Prakob Sritawi Kapong Chief District Officer (KCDO) held a meeting at Moo 4 of Rammani Subdistrict, a participant claimed for the public land around the hot spring. KCDO tried
hard for many times connecting various sectors to issue a public title deed. Finally, hot spring first public title deed was issued by the governor of Phang Nga on the 5 January 2010 which covered the total area of 34 Rai. This made much happiness to the locals of Rommani subdistrict.
In the following year, the Department of Provincial Administration (DOPA) projected every district across Thailand to found The Philosophy of Sufficiency Economy Learning Center, and Kapong District selected the area around hot spring as the learning center which was budgetary supported by local body, Rommani Subdistrict Administrative Organization, and Phang Nga Province
in the amount of five million baht for improving landscape and building two hot spring wells. A community body like a cooperative was set up to manage Rommani hot spring called ”Rommani Hot Spring Well Administrative Community Group” or RHPWACG which was officially open on 28 December 2011. The citizens of Rommani could buy a share of RHPWACG which valued 100 baht per one share at the minimum of 1,000 baht and maximum 50,000 baht. In the first year, there were 104 share holders of 4,570 shares at the total 457,000 baht.
In 2012, KCDO claimed for the rest of land approximately 5 Rai nearby hot spring, which was occupied by the privates growing their oil palms, to issue the second public title deed, and it was succeed in the following year. The second title deed implied that the corruption of public lands came to the completed ending.
Attention Please
The lands which located opposite, and on the left of the hot spring are the public lands, and behind the hot spring is a sanctuary. These properties cannot be sold. And please remind that some lands in Soi Klang are in sanctuary which their title deeds issued illegally and will be canceled automatically. Moreover, invaders will be prosecuted.